วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ถาม-ตอบ : ถ้าเป็นมนุษย์เงินเดือนจะหาเงินยังไงดี ??

พอดีมีคนถามเข้ามาว่าให้ช่วยเขียนวิธีการหาเงินว่าทำยังไงไ้ด้บ้างถ้าเป็นมนุษย์เงินเดือน

นั่นซิจะหาเงินยังไงดีหละ.......????

คำตอบมีเยอะมากมายใน Internet หรือตามสื่อทีวีว่าอาชีพเสริมโน้นนี่นั่นเต็มไปหมด

มีเยอะแยะมากมายจนเลือกไม่ถูกกันเลยทีเดียวว่าเราควรจะมีอาชีพเสริมอะไรดีเพื่อสร้างเงิน

ควบคู่กับงานประจำที่เราต้องทำแต่งานซึ่งบางครั้งก็ยังไม่ค่อยมีเวลาเป็นของตัวเองสักเท่าไหร่

ทั้งนี้ก็แล้วแต่ความชอบและความถนัดของแต่ละคน เพราะทางเลือกมีเยอะม๊าก

ตอนเราเรียนก็รู้ว่าโรงเรียนคือบ้านหลังที่สอง และพอทำงานก็รู้ว่าที่ทำงานคือบ้านหลังที่สอง (*_*)!!


ถ้าจะตอบคำถามนี้ในความคิดเห็นส่วนตัวแล้วหละก็คิดออกมาได้ 3 แบบค่ะ

               1. ทำงานที่ตัวเองรักเพราะเราจะรู้สึกว่าเราไม่ได้ทำงาน เราก็จะสนุกกับงาน พูดง่ายเนอะ

แต่ทำยากจัง ความรักในงานก็มีจุดเริ่มต้นแตกต่างกัน บางคนเลือกแล้วว่ารักงานอะไรก็ทำงานแบบนั้น

ทำจนออกมาดี แม้มีอุปสรรคอะไรก็ไม่ย่อท้อ เพราะเรารักในงานที่ทำ แบบนี้เรียกว่า "รักแล้วจึงทำ"

ส่วนอีกแบบหนึ่งก็จะเรียกว่า "ทำแล้วจึงรัก" บางครั้งเราก็ไม่รู้ว่าเราชอบงานอะไร แต่พอทำไปเรื่อยๆ

เราก็เกิดเป็นความรักในงานขึ้นมาเองค่ะ อีกไม่นานรายได้ก็บังเกิดค่ะ

                 2. หางานตามคำสอนของแม่ค่ะ ตอนที่แม่รู้ว่าพ่อจะเข้าโครงการ early retire

หรือเป็นการเกษียณก่อนอายุ 60 ปี แม่กลัวพ่อจะเหงาเลยหาอะไรให้ทำ หลักการคิดของแม่คิดว่า

งานอะไรที่ทำแล้วสามารถสร้างรายได้สม่ำเสมอ บทสรุปอยู่ที่ธุรกิจให้เช่าอุปกรณ์โต๊ะจีน

ซึ่งการจัดงานในระยะแรกก็ไม่มีคนรู้จักก็ไม่ค่อยมีงานสักเท่าไหร่ แต่พอรู้จักมากขึ้นก็มีงาน

เข้ามาตลอดเวลา ทำให้คิดได้ว่าธุรกิจที่เกี่่ยวกับการให้เช่าอะไรก็ตามสามารถสร้างรายได้

ควบคู่กับงานประจำได้เ่ช่นกัน โดยที่เราก็ปล่อยให้สินทรัพย์ของเราทำงานในขณะที่เราก็ทำงาน

ตัวอย่างที่พอจะนึกออกก็ตามนี้เลยค่ะ


  • ให้เช่าบ้าน ก็อาจจะเป็นบ้านเก่าที่เราไม่ได้ใช้แล้วปรับปรุงปล่อยเช่า หรือว่าไปดูสินทรัพย์รอการขายที่เป็นบ้านมือสอง เราอาจจะไปดูแล้วทำเลดีแค่ปรับปรุงสักนิดก็ใช้ได้
  • ให้เช่าคอนโด บางครั้งตอนเรียนทางบ้านอาจจะให้อยู่คอนโดเพราะเดินทางไปเรียนสะดวก แต่พอทำงานแล้วเราต้องไปทำงานที่ต่างจังหวัดแล้วปล่อยคอนโดว่างไว้ก็อาจจะเสียโอกาส เราก็อาจจะปล่อยเช่าก็ได้
  • ให้เช่ารถตู้ แบบนี้เห็นบ่อยตามวินรถตู้ต่างจังหวัดใกล้ๆกรุงเทพฯ จะมีการซื้อรถตู้แล้วจ้างคนขับประจำวินขับไปต่างจังหวัด
  • ให้เช่าที่ดิน ที่ดินทำเกษตรกรรม ตลาดนัด ตลาดสด
  • ให้เช่าสินค้าแบรนด์เนม อาจะใช้ประกอบฉากในละครทีวี 

                 3. มองแนวโน้มตลาดในอนาคตว่ากระแสอะไรกำลังจะมาแล้วเราก็ทำธุรกิจที่เกี่ยวข้อง

 เช่น ประชากรผู้สูงอายุจะมากขึ้นก็อาจจะเป็นแนวโน้มได้ว่าธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุกำลังจะมา

อาจจะเคยได้ยิน Gen C คือ Generation Connected* (ความหมายอยู่ตามข้อมูลด้านล่างค่ะ)

ถ้าเราสามารถออกแบบ APP บนมือถือได้ก็อาจจะทำมาตอบสนองคนกลุ่มนี้โดยเฉพาะ เช่น 

ตารางตรวจสุขภาพ ตารางกินยา เกมส์เสริมสร้างความจำ ฯลฯ โดยที่ออกแบบให้ง่ายต่อการใช้งาน

ถ้ามียอดโหลด APP เยอะรายได้เราก็จะเพิ่มขึ้นด้วย คนกลุ่มนี้มีศักยภาพในการจ่ายสูงกว่าเด็กจบใหม่ 

                ทั้งหมดนี้ก็เป็นแค่แนวคิดส่วนตัวที่สามารถทำได้ขณะที่เป็นมนุษย์เงินเดือน เราก็ทำควบคู่

กับงานประจำ ถ้าประสบผลสำเร็จก็ออกมาทำเต็มตัว แต่ถ้าบางคนบู๊มากหน่อยก็ออกมาทำเลยก็ได้

แค่เราไม่ท้อตอนเจออุปสรรคเท่านั้น สู้เพื่อความฝัน แต่ถ้าฝันแล้วไม่สู้ก็เป็นแค่ฝันกลางวันนะค่ะ
                
นี่แหละค่ะประโยชน์ของการออมเงิน ถ้าคุณทำงานได้เงินเดือนเยอะมาก แต่ไม่สามารถเก็บเงินไว้ได้ 

หรือเก็บได้น้อย ก็สู้ไม่ได้กับคนที่เงินเดือนน้อยแล้วรู้จักวิธีเก็บเงินให้งอกเงย 

ความฝันเล็กๆที่เราอยากจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ก็อาจจะเกิดขึ้นได้ยาก

เพราะเราจะไม่มีทุนในการสร้างฝัน เริ่มเก็บทีละนิดตั้งแต่วันนี้เพื่อความฝันของเรานะค่ะ สู้ๆค่ะ



บทความน่าสนใจ


ลูกจะมีวินัยทางการเงินหรือไม่นั้นต้องเริ่มจากพ่อกับแม่

==> http://pajareep.blogspot.com/2013/08/blog-post_4.html

เราทำงานเพื่ออะไร 
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/05/blog-post_27.html

เงินฝากเขย่าโลก
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/04/blog-post_20.html

บทเรียนในความมืดกับการวางแผนการเงิน
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/02/blog-post_24.html

การเงินส่วนบุคคล ตอน การวิเคราะห์หนี้สิน
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/01/blog-post_28.html


บัตรเครติต & ตลาดหุ้น...หลักการกับปฎิบัติมันไม่เหมือนกัน
==> http://pajareep.blogspot.com/2012/12/blog-post.html


การพนัน คือ การวางเดิมพันอนาคต
==> http://pajareep.blogspot.com/2012/11/blog-post_12.html

คนล้มละลาย เศรษฐกิจก็ล้มละลาย
==> http://pajareep.blogspot.com/2012/10/blog-post.html

=======================================================


Generation Connected

พวก Gen C หรือ Generation Connected ที่เป็นการแบ่งประชากรออกเป็นอีกกลุ่ม แต่แทนที่จะเป็นไปตามปีเกิด เหมือนพวก Gen X หรือ Gen Y กลับแบ่งตามพฤติกรรม ในอดีตคำว่า Gen C ก็ใช้กันอยู่บ้างแต่โดยส่วนใหญ่แล้วตัว C นั้นจะหมายถึง Content มากกว่า แต่ดูเหมือนในปัจจุบัน C นั้นเปลี่ยนจาก Content เป็น Connected แทน

โดยส่วนตัวแล้วผมมองว่าคน Gen C นั้น ได้แก่ พวก Gen X หรือ Baby Boomers ที่มีพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเชื่อมต่อเป็นประจำ บางคนอาจจะใช้เทคโนโลยีเพื่อการเชื่อมต่อเป็นระยะๆ แต่บางคนก็ถึงขั้นของการเสพติดเลยทีเดียว ส่วนสาเหตุที่ผมไม่จัดคนกลุ่ม Gen Y เข้าอยู่ในพวก Gen C ด้วยนั้น ก็เนื่องจาก Gen Y นั้นจะมีพฤติกรรมของการเชื่อมต่อตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่พฤติกรรมในการเชื่อมต่อของคน Gen Y และพวก Gen C นั้นแตกต่างกัน
ท่านผู้อ่านอาจจะสงสัยว่าทำไมคน Gen C ถึงได้มีความสำคัญมากขึ้น ทั้งนี้ เนื่องจากเทคโนโลยีสารสนเทศและเครื่องมือใหม่ๆ ที่ออกมามากขึ้น ทำให้คนกลุ่ม Gen X & Baby Boomers มีพฤติกรรมของการใช้เทคโนโลยีในการเชื่อมต่อมากขึ้น อีกทั้งการเชื่อมต่อเหล่านี้ก็ส่งผลให้พฤติกรรมของคนเหล่านี้เปลี่ยนไปทั้งการรับข้อมูลข่าวสาร การหาข้อมูล การติดต่อสื่อสาร และที่สำคัญ คือ การใช้เวลา อย่าลืมว่าเวลาของคนมีเท่ากันและมีจำกัด ในอดีตพวก Gen X & Boomers ที่ยังไม่กลายเป็นพวก Gen C ยังสามารถใช้เวลาในการทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างเหลือเฟือ เช่น ดูละคร อ่านหนังสือ ฟังวิทยุ อยู่กับครอบครัว ฯลฯ แต่เมื่อกลายร่างเป็นคน Gen C แล้ว การเชื่อมต่อด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศเหล่านี้กลับเข้ามาทดแทนเวลาในการทำกิจกรรมเดิมๆ ไป ทำให้ส่งผลกระทบต่อทั้งการบริหาร กลยุทธ์ และการตลาด
คราวนี้เรามาดูพฤติกรรมของคน Gen C กันนะครับ ผมมองว่าถึงแม้คนเหล่านี้จะใช้ Social Media หรืออินเทอร์เน็ตมากขึ้นเหมือนคน Gen Y แต่พฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้กลับแตกต่างกันไปครับ
จริงอยู่ที่คน Gen C ยังชอบโพสต์ข้อความต่างๆ บน Social Media ไม่ว่าจะเป็น Facebook หรือ Twitter ไม่ว่าจะเป็นอาหาร รูปภาพ ความรู้ สถานที่ ฯลฯ แต่คนเหล่านี้จะโพสต์สิ่งต่างๆ ด้วยความระมัดระวังและมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนมากกว่าคน Gen Y โดยที่คน Gen Y อาจจะบ่นหรือพร่ำรำพันถึงอารมณ์ในช่วงต่างๆ ลงบน FB แต่ลองสังเกตคน Gen C ส่วนใหญ่ (ซึ่งก็คือผู้ใหญ่ที่ชอบ Connected) จะไม่ค่อยแสดงอารมณ์หรือพร่ำรำพันผ่านทางสื่อเหล่านี้เท่าใด และสิ่งที่โพสต์นั้นก็มีเป้าหมายอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งปันสิ่งดีๆ กับผู้อื่น การแบ่งปันความรู้ การประชาสัมพันธ์ตนเองหรือครอบครัวหรือหน่วยงาน การแบ่งปันอดีต (ส่วนใหญ่รูปในอดีต) กับเพื่อนๆ การพูดคุย แซว หยอกล้อกับเพื่อนๆ ฯลฯ
ยังมีกลุ่มคน Gen C ที่เน้นในการอ่านหรือเสพข้อมูลต่างๆ ผ่านทาง Social Media แต่ไม่ค่อยได้โพสต์หรือแสดงความคิดเห็นเท่าใด คนเหล่านี้อยากที่จะเสพข้อมูล รับรู้ข้อมูลของผู้อื่น แต่ไม่ชอบที่จะแสดงความเห็นของตนเองหรืออยากให้ผู้อื่นเข้ามารับรู้เรื่องราวของตนเอง (คงจะถือคติที่ว่า “เรื่องของชาวบ้านคืองานของเรา”)
ยังมีช่องทางอื่นๆ ที่คน Gen C ชอบที่จะใช้ในการเชื่อมต่ออีกนะครับ ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารผ่าน App ต่างๆ (เช่น What’s App หรือ Line) หรือแม้กระทั่ง Social Media ใหม่ๆ อย่างเช่น Pinterest แต่ประเด็นสำคัญ ก็คือ ไม่ว่าจะผ่านช่องทางหรือวิธีการใดก็ตาม เราจะพบว่าเทคโนโลยีและการเชื่อมต่อเหล่านี้ทำให้ชีวิตและพฤติกรรมของคน Gen C เปลี่ยนไป ท่านผู้อ่านที่คิดว่าตนเองเป็น Gen C ลองหยุดหรือไม่เข้าดูหรือเสพข้อมูลผ่านทางช่องทางเหล่านี้สักสัปดาห์ซิครับ ดูซิว่าจะลงแดงหรือไม่ ถือว่าเป็น Digital Detox อย่างหนึ่งครับ
ประเด็นสำคัญ คือ การถือกำเนิดของคน Gen C เหล่านี้มีผลอะไรบ้าง สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจน คือ คน Gen C นั้นใช้สติและประสบการณ์กับสื่อสังคมออนไลน์และเทคโนโลยีเหล่านี้มากกว่าคน Gen Y ทั่วๆ ไป ดังนั้น การทำตลาดกับคนกลุ่มนี้อาจจะต้องใช้วิธีการที่แตกต่างจากคน Gen Y ทั่วๆ ไป อีกทั้งกลยุทธ์และการบริหารจัดการสื่อสังคมออนไลน์และเทคโนโลยีสำหรับคน Gen C นั้นก็ต้องแตกต่างจากคน Gen Y อีกด้วยครับ
ก็ลองฝากสังเกตพฤติกรรมของท่านเองและบุคคลรอบข้างนะครับว่าเป็นคน Gen C หรือไม่ เราจะพบว่ามีคน Gen C เป็นจำนวนมาก รอบๆ ตัวเราโดยที่เราไม่รู้ตัวครับ











ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น